ยุคที่โฆษณาตายแล้ว ทำไมแบรนด์ต้องคิดและทำตัวเหมือน Creator

ยุคที่โฆษณาตายแล้ว ทำไมแบรนด์ต้องคิดและทำตัวเหมือน Creator

ยุคที่โฆษณาตายแล้ว ทำไมแบรนด์ต้องคิดและทำตัวเหมือน Creator

ผู้บริโภคไม่เชื่อโฆษณาที่ดูสมบูรณ์แบบอีกต่อไป แต่พวกเขาเชื่อ “คน” ที่พวกเขารู้สึกว่า จริงใจและใกล้ชิด นี่คือการมาถึงของ Creator Economy ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ และเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ต่างๆ จึงต้องถอดชุดสูททางการออก แล้วสวมบทบาทเป็น ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ (Creator) เพื่อเอาชนะใจคนในยุคดิจิทัล

การปรับตัวให้คิดเหมือน Creator ไม่ใช่แค่การจ้าง Influencer แต่คือการเปลี่ยนปรัชญาการสื่อสารของแบรนด์ทั้งหมด

1. ขาย ความจริงใจ ไม่ใช่แค่ คุณสมบัติสินค้า

Creator ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ขายสินค้า แต่ขาย มุมมอง ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ ของตัวเอง พวกเขาสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้ติดตาม ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความน่าเชื่อถือแบบเพื่อน (Peer Trust)”

  • สร้างความใกล้ชิด  แบรนด์ต้องเลิกพูดภาษาทางการที่สมบูรณ์แบบ แต่หันมาใช้ภาษาที่ จับต้องได้ อาจมีการแสดงด้านที่ ไม่สมบูรณ์แบบ บ้าง หรือแชร์ เบื้องหลังการทำงาน (Behind the Scenes) ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์มีชีวิต มีความเป็นมนุษย์ และใกล้ชิดกว่าการเป็นแค่บริษัทใหญ่ๆ
  • เป็นผู้เชี่ยวชาญ แบรนด์ต้องหยุดโฆษณาว่าสินค้าดีอย่างไร แต่ให้แสดงออกว่า “เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น” (Thought Leadership) เช่น หากขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไม่ใช่แค่โฆษณาครีม แต่ต้องให้ความรู้เรื่องการดูแลผิวที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายเหมือนครีเอเตอร์สายบิวตี้ทำ สิ่งนี้จะสร้าง ความไว้วางใจ นำไปสู่ยอดขายในที่สุด

2. จากแคมเปญเดียวจบ สู่ คอนเทนต์ต่อเนื่อง

การตลาดแบบดั้งเดิมเน้นการทุ่มงบไปที่แคมเปญใหญ่ๆ เพียงครั้งเดียว แต่โลกของ Creator นั้นเน้น ความสม่ำเสมอและความต่อเนื่อง (Consistency)

  • เติมเต็มช่องว่างทุกแพลตฟอร์ม Creator รู้ดีว่าแต่ละแพลตฟอร์มมีภาษาและรูปแบบที่ต่างกัน (TikTok คือวิดีโอสั้น เน้นความบันเทิง, YouTube คือวิดีโอยาว เน้นความรู้เชิงลึก, LinkedIn คือคอนเทนต์เชิงอาชีพ) แบรนด์จึงต้องปรับเนื้อหาให้เข้ากับช่องทางนั้นๆ อย่างมีศิลปะ ไม่ใช่แค่โพสต์ซ้ำๆ กัน
  • สร้างคุณค่าแบบไม่มีวันหมดอายุ (Evergreen Content) Creator จะสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ชมในระยะยาว (เช่น บทความ SEO หรือ How-to Guide) ซึ่งช่วยดึงดูด Traffic เข้ามายังแบรนด์ได้ฟรีและต่อเนื่อง แตกต่างจากโฆษณาที่หยุดจ่ายเงินแล้วก็หายไป

3. กล้าที่จะทดลองและปรับตัวอย่างรวดเร็ว

Creator มีความคล่องตัวสูง พวกเขาสามารถ สร้าง-วัดผล-เรียนรู้-ปรับเปลี่ยน (Build-Measure-Learn) ได้ในเวลาไม่กี่วัน แบรนด์ใหญ่จึงต้องทลายกำแพงของกระบวนการอนุมัติที่ซับซ้อน

  • จับกระแสให้ไว ในยุคที่ TikTok ครองโลก แบรนด์จำเป็นต้อง เกาะกระแส (Trend-jacking) หรือสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Trending Sounds ให้ทันท่วงที การทำงานแบบ Creator ที่ไม่กลัวความล้มเหลวจะทำให้แบรนด์สามารถทดลองสร้างไวรัลได้โดยไม่ต้องเสียเวลารอการอนุมัติหลายสัปดาห์
  • การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ Creator จะดู Analytics ของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อรู้ว่าคอนเทนต์ไหนได้ผล แบรนด์ก็เช่นกัน ต้องใช้ Data เพื่อปรับกลยุทธ์คอนเทนต์ในสัปดาห์ถัดไปทันที ไม่ใช่รอสรุปผลตอนสิ้นเดือน

Creator Economy ไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่คือ การเปลี่ยนแปลงอำนาจ จากบริษัทโฆษณาใหญ่ๆ มาสู่ผู้สร้างเนื้อหาที่ลูกค้าไว้วางใจ แบรนด์ที่ชนะในเกมนี้คือแบรนด์ที่ยอมสวมหมวกของ Creator

  1. ให้คุณค่า (Value) ก่อนการขาย (Sell)
  2. มีความจริงใจ (Authenticity) เหนือความสมบูรณ์แบบ (Perfection)
  3. กล้าที่จะทดลอง (Experiment) เพื่อเรียนรู้ (Learn)

ถ้าแบรนด์ของคุณสามารถสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ มีประโยชน์ และมีความจริงใจได้เหมือนกับเพื่อนที่ลูกค้าอยากติดตาม นั่นแหละคือเส้นทางสู่การสร้าง ความผูกพันที่ยั่งยืน และเอาชนะคู่แข่งในระยะยาว